BYD Denza D9 2025 ราคา ตารางผ่อน รถตู้ไฟฟ้าหรูหราครบเครื่อง

Denza D9 ไม่ใช่เพียงรถตู้ไฟฟ้าธรรมดา แต่เป็นผลผลิตจากความร่วมมือระหว่าง BYD และ Daimler (Mercedes-Benz) ที่ต้องการสร้างรถ MPV หรูหราขนาดใหญ่ ที่ผสานระหว่างเทคโนโลยีไฟฟ้าล้ำยุค กับความหรูหราในระดับเดียวกับ Lexus LM หรือ Toyota Alphard แต่ตั้งราคาที่จับต้องได้มากกว่าเกือบครึ่ง

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของ BYD Denza D9 ตั้งแต่รุ่นย่อย ราคา สีตัวถัง ดีไซน์ สมรรถนะ จนถึงความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า รถคันนี้… “ใช่” สำหรับคุณหรือไม่

มีกี่รุ่น และราคาเท่าไหร่

BYD Denza D9 2025 รถตู้ไฟฟ้าแนวหรูจากความร่วมมือระหว่าง BYD กับ Daimler (เจ้าของ Mercedes-Benz) มีการนำเข้าจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยหลัก ๆ ได้แก่:

• Denza D9 Premium FWD – ราคา 1,999,900 บาท

• Denza D9 Performance AWD – ราคา 2,699,900 บาท

ทั้งสองรุ่นมาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วน (EV) พร้อมความสะดวกสบายระดับรถยนต์หรูในราคาที่ใกล้เคียงกับรถตู้ระดับกลางจากญี่ปุ่น แต่ได้ความเป็นพรีเมียมมากกว่าหลายขุม

ตารางผ่อนชำระ (ประมาณการ)

หมายเหตุ: ค่างวดเป็นการประมาณการ ยังไม่รวมประกันภัย ดอกเบี้ยอิงเฉลี่ย 2.79% ต่อปี

สีตัวถัง และการเพิ่มเงิน

สีตัวถังของ Denza D9 ถูกออกแบบให้ดูสง่า มีความกลมกลืนระหว่างความเป็นครอบครัวและรถผู้บริหาร

สีมาตรฐานที่มีให้เลือก:

• Arctic White

• Quantum Black

• Harbour Grey

• Glacier Blue (เฉพาะรุ่น Performance AWD)

หมายเหตุ: สีเมทัลลิกบางสีมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมประมาณ 20,000–30,000 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละโชว์รูม

ดีไซน์ภายนอก

BYD Denza D9 2025 โดดเด่นด้วยดีไซน์ “Large Luxury MPV” ที่ไม่เหมือนใคร

• ไฟหน้า LED แบบ Full Beam พร้อมไฟ DRL ทรงบูมเมอแรง

• กระจังหน้าแนวตั้งขนาดใหญ่ เพิ่มความโอ่อ่า

• มือจับประตูแบบ Pop-out อัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น Performance)

• ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต 18-19 นิ้ว (แล้วแต่รุ่น)

• เส้นสายตัวถังโค้งมน เน้นภาพลักษณ์หรูหราและพรีเมียม

เมื่อมองจากด้านหน้า Denza D9 ให้ความรู้สึกเทียบเท่ากับ Lexus LM แต่ด้วยราคาที่จับต้องได้มากกว่าเกือบครึ่ง

ดีไซน์ภายใน

ภายในห้องโดยสารออกแบบมาเพื่อความสบายและความเงียบระดับ First-Class

• เบาะโดยสาร 3 แถว (7 ที่นั่ง) โดยเบาะแถวกลางเป็นแบบ Captain Seat ปรับไฟฟ้า

• หน้าจอ Infotainment กลางขนาด 15.6 นิ้ว หมุนได้แนวตั้ง-แนวนอน

• หน้าจอสำหรับผู้โดยสารแถวสองแบบฝังในพนักพิงเบาะหน้า

• วัสดุตกแต่งเบาะเป็นหนัง Nappa (เฉพาะรุ่น Performance)

• หลังคาซันรูฟพาโนรามา เปิดกว้างทุกมุมมอง

จุดเด่นคือบรรยากาศเงียบ พร้อมระบบกรองอากาศ CN95 และเครื่องฟอกอากาศในตัว

ขุมพลังและสมรรถนะ

รุ่น Premium FWD

• มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า

• แรงม้าสูงสุด 230 แรงม้า

• แรงบิด 360 นิวตันเมตร

• ระยะทางวิ่งสูงสุดประมาณ 600 กม./ชาร์จ (มาตรฐาน CLTC)

รุ่น Performance AWD

• มอเตอร์คู่ (หน้า+หลัง)

• แรงม้ารวม 374 แรงม้า

• แรงบิด 470 นิวตันเมตร

• อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.9 วินาที

• วิ่งได้ประมาณ 620 กม./ชาร์จ

ทั้งสองรุ่นรองรับ DC Fast Charging ได้สูงสุด 166 kW ชาร์จ 30%-80% ภายใน ~30 นาที

ช่วงล่าง

ระบบช่วงล่างของ Denza D9 2025 ให้ความนุ่มนวลไม่แพ้รถยุโรปในระดับเดียวกัน

• ด้านหน้า: MacPherson Strut

• ด้านหลัง: Multi-Link Independent Suspension

• ระบบ Adaptive Suspension เฉพาะรุ่น Performance

ช่วงล่างถูกปรับเซ็ตให้เหมาะกับสภาพถนนเมืองไทย รองรับหลุมและลอนถนนได้อย่างนุ่มนวลในทุกแถวที่นั่ง

การขับขี่เหมาะกับใคร

BYD Denza D9 เหมาะสำหรับ:

• ครอบครัวใหญ่ ที่ต้องการรถไฟฟ้าหรูขนาดใหญ่

• กลุ่มผู้บริหารที่ต้องการความสบายในการเดินทาง

• โรงแรม/รีสอร์ตที่เน้น VIP Shuttle

• คนรุ่นใหม่ที่อยากได้รถที่ดูหรู แต่อยากประหยัดค่าน้ำมันระยะยาว

Connectivity and Infotainment

เทคโนโลยีภายในจัดเต็มไม่แพ้รถยุโรปราคา 3-4 ล้านบาท

• หน้าจอสัมผัสแนวตั้ง 15.6 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay/Android Auto

• ระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice AI)

• ระบบ WiFi Hotspot ในรถ

• USB A & C, Wireless Charging ครบทุกแถว

• กล้องรอบคัน 360° พร้อมระบบจอดอัตโนมัติ

• ระบบเสียงรอบทิศทาง Hi-Fi พร้อมซับวูฟเฟอร์

เทคโนโลยีและฟีเจอร์

เทคโนโลยีที่ติดตั้งมาให้:

• ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ AEB

• ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน

• Adaptive Cruise Control + Stop&Go

• ถุงลมรอบคัน 10 จุด

• ระบบตรวจจับคนเดินเท้า, จักรยาน, รถยนต์

• ระบบกล้อง IR Night Vision (บางรุ่น)

• ระบบจดจำใบหน้าเพื่อปรับโปรไฟล์ที่นั่ง/อุณหภูมิอัตโนมัติ

เปรียบเทียบกับคู่แข่ง

เมื่อดูด้านความคุ้มค่า Denza D9 อยู่ในจุดที่โดดเด่นที่สุดหากเทียบ “ราคา-สเปค”

ข้อดีและข้อสังเกต

ข้อดี:

• ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่ได้ฟีเจอร์เทียบเท่ารถยุโรป

• ดีไซน์หรู สมกับผู้บริหารหรือรถครอบครัวระดับพรีเมียม

• เทคโนโลยีครบ ไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม

• วิ่งไกล และรองรับชาร์จเร็ว

ข้อสังเกต:

• เครือข่ายบริการหลังการขายยังไม่ครอบคลุมเท่าแบรนด์เก่าแก่

• รุ่น Premium FWD ไม่รองรับช่วงล่างปรับอัตโนมัติ

• ขนาดตัวถังค่อนข้างใหญ่ อาจไม่เหมาะกับบางพื้นที่จอด